Toyota Yaris ATIV Hybrid Sedan: ทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่าคู่แข่ง
โตโยต้า มอเตอร์ ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่าจะเปิดตัว Yaris ATIV รุ่นไฮบริดราคาประหยัดที่สุดในประเทศไทย เพื่อรับมือกับการแข่งขันจากการเติบโตของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน Yaris ATIV ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 729,000 บาท (ประมาณ 22,379 ดอลลาร์สหรัฐ) มีราคาต่ำกว่า Yaris Cross hybrid ซึ่งเป็นรุ่นไฮบริดที่ประหยัดที่สุดของโตโยต้าในตลาดประเทศไทยถึง 60,000 บาท การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของโตโยต้าในความต้องการของตลาด และความมุ่งมั่นที่จะสร้างความสำเร็จท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง
โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ซีดานไฮบริด ตั้งเป้ายอดขายปีแรกไว้ที่ 20,000 คัน ประกอบที่โรงงานในจังหวัดฉะเชิงเทรา ประเทศไทย โดยชิ้นส่วนรถยนต์ประมาณ 65% จัดหาภายในประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต โตโยต้ายังมีแผนที่จะส่งออกรถยนต์ไฮบริดไปยัง 23 ประเทศ รวมถึงชิ้นส่วนอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการริเริ่มเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของโตโยต้าในตลาดประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
การเริ่มต้นการขายรถยนต์ไฟฟ้าอีกครั้ง: การกลับมาของ bZ4X SUV
นอกจากการเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่แล้ว โตโยต้ายังได้เปิดรับจองรถยนต์ SUV ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ bZ4X ในประเทศไทยแล้ว โตโยต้าเปิดตัว bZ4X ครั้งแรกในประเทศไทยในปี 2565 แต่การจำหน่ายต้องหยุดชะงักลงชั่วคราวเนื่องจากปัญหาห่วงโซ่อุปทาน bZ4X รุ่นใหม่นี้จะนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และมีราคาเริ่มต้นที่ 1.5 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะลดราคาลงประมาณ 300,000 บาท เมื่อเทียบกับรุ่นปี 2565
โตโยต้า bZ4X ใหม่ ตั้งเป้าจำหน่ายปีแรกในประเทศไทยประมาณ 6,000 คัน คาดว่าจะเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีนี้ การตัดสินใจครั้งนี้ของโตโยต้าไม่เพียงสะท้อนถึงการตอบสนองเชิงรุกต่อความต้องการของตลาดเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการลงทุนและนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า โตโยต้าหวังที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาดด้วยการกลับมาจำหน่าย bZ4X อีกครั้ง
สถานการณ์ตลาดรถยนต์ไทยในปัจจุบันและกลยุทธ์การตอบสนองของโตโยต้า
ประเทศไทยเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นและการปฏิเสธสินเชื่อรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลอุตสาหกรรมที่รวบรวมโดยโตโยต้า มอเตอร์ ระบุว่ายอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยในปีที่แล้วอยู่ที่ 572,675 คัน ลดลง 26% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ยอดขายรถยนต์ใหม่อยู่ที่ 302,694 คัน ลดลงเล็กน้อย 2% ในสภาพแวดล้อมตลาดเช่นนี้ การเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดของโตโยต้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
แม้จะมีความท้าทายทางการตลาดโดยรวม แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง แนวโน้มนี้ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนอย่าง BYD สามารถขยายส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ BYD มีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไทยอยู่ที่ 8% ขณะที่ MG และ Great Wall Motors ซึ่งทั้งสองแบรนด์ภายใต้ SAIC Motor ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 4% และ 2% ตามลำดับ ส่วนแบ่งตลาดรวมของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีนในประเทศไทยสูงถึง 16% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของแบรนด์จีนในตลาดไทย
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยถึง 90% แต่สัดส่วนลดลงเหลือ 71% เนื่องจากการแข่งขันจากคู่แข่งชาวจีน โตโยต้ายังคงเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 38% แต่ยอดขายรถกระบะกลับลดลงเนื่องจากการถูกปฏิเสธสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เช่น โตโยต้า ยาริส ไฮบริด ช่วยชดเชยการลดลงนี้
การกลับมาจำหน่ายรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดของโตโยต้าในตลาดประเทศไทย ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการตอบสนองเชิงรุกต่อการแข่งขันที่รุนแรง โตโยต้าจะยังคงปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การที่โตโยต้าคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานไฟฟ้าจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสามารถในการแข่งขันของโตโยต้า
โดยรวมแล้ว การปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ของโตโยต้าในตลาดไทยไม่เพียงแต่เป็นการตอบรับเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอบโต้อย่างแข็งขันต่อการเติบโตของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนอีกด้วย โตโยต้าหวังที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดราคาประหยัดและการฟื้นฟูยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า
อีเมล:edautogroup@hotmail.com
โทรศัพท์ / WhatsApp:+8613299020000
เวลาโพสต์: 25 ส.ค. 2568